หนุ่มโสดชาวปะหร่อง เมื่ออายุประมาณ 17-25 ปี จะมีคนหนึ่งถูกคัดเลือกให้เป็น “ครู”
“ครู” ไม่ใช่ ครูที่สอนวิชาภาษาไทย ไม่ใช่ครูที่สอนวิชาคณิตศาสตร์ หรือวิชาสังคม ทว่า “ครู” คือผู้สอนวิชาจีบสาว
“ครู” หนุ่มที่ถูกคัดเลือก จะมีหญิงรุ่นเดียวกันอีกสองคนเป็นผู้ช่วย (ครู)
ลูกศิษย์ที่มาร่ำเรียนวิชาจีบสาว คือ เด็กอายุ 12 ขวบ
เด็กอายุ 12 ขวบ ก็จีบสาวแล้ว?
สำหรับชาวปะหร่องอายุ 12 ถือได้ว่า เป็นวัยที่แต่งงานได้แล้ว
วัตถุประสงค์ของการสอนวิชาจีบสาวก็เหมือนวิชาทั่ว ๆ ไป คือ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ เข้าใจจนสามารถนำไปปฏิบัติต่อในสถานการณ์จริงได้โดยไม่กระดากอาย หรือทำผิด ๆ ถูก ๆ
ร่ำเรียนจนจบภาคทฤษฏี จะมีการจับฉลาก ฉลากแต่ละใบเขียนชื่อหญิงสาวหนึ่งคน จับได้ใครก็ต้องไปฝึกภาคปฏิบัติกับคนนั้น ทั้งนี้จึงถือได้ว่าจบหลักสูตร
ผู้ร่ำเรียนจะได้ใช้วิชาฝีมือจริง ๆ ก็ต่อเมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนเมษายน-ตุลาคม ซึ่งจะเป็นช่วงเก็บใบชา
ช่วงเก็บใบชาหนุ่มสาวจะมีโอกาสได้พบปะกัน
พบปะแล้วไยจะปล่อยให้ผ่านเลย เพียงแค่เก็บใบชา
ธรรมเนียมการแต่งกางของชาวปะหร่องออกจะแปลกประหลาดทีเดียว คือ ฝ่ายหญิงต้องหนีตามผู้ชายไป
ผู้ชายจะพาเธอไปอาศัยบ้านญาติ
หญิงสาวจะทิ้งตลับแป้งซึ่งเป็นเครื่องหมายบอกแก่บิตา-มารดาว่า ตนเองได้หนีตามคนรักไปแล้ว
พ่อ-แม่ฝ่ายหญิงเมื่อพบเห็นตลับแป้ง ก็จะเริ่มจัดขบวนตามหาลูกสาว
ทว่าใช้คนเท่าไร ใช้เวลานานเท่าไรก็ไม่มีทางหาเจอ
หาไม่เจอเพราะ ไม่ได้ตั้งใจจะหาให้เจอ
ประเพณีนี้ คือ รู้อยู่แล้วว่าลูกสาวอยู่ที่ไหน แต่ก็แสร้างเป็นไม่รู้ ลูกสาวอยู่เหนือก็พากันลงใต้ ลูกสาวอยู่ตะวันออก ก็พากันไปตะวันตก
เมื่อ(แสร้าง)ตามหากันพอควรแล้ว ก็จะพากันกลับบ้านของตน
กลับบ้านเพื่อไปพบกับผู้ใหญ่ฝ่ายชาย
ผู้ใหญ่ทั้งสองจะทำการตกลงว่าจะเอาอย่างไร
ตกลงกันได้ก็เสร็จ ตกลงกันไม่ได้ก็อด
ทว่าถ้าตกลงกันได้ ค่าสินสอดไม่ต้องให้สักสตางค์เดียว รับเจ้าสาวกลับบ้านไปได้เลย
“ครู” ไม่ใช่ ครูที่สอนวิชาภาษาไทย ไม่ใช่ครูที่สอนวิชาคณิตศาสตร์ หรือวิชาสังคม ทว่า “ครู” คือผู้สอนวิชาจีบสาว
“ครู” หนุ่มที่ถูกคัดเลือก จะมีหญิงรุ่นเดียวกันอีกสองคนเป็นผู้ช่วย (ครู)
ลูกศิษย์ที่มาร่ำเรียนวิชาจีบสาว คือ เด็กอายุ 12 ขวบ
เด็กอายุ 12 ขวบ ก็จีบสาวแล้ว?
สำหรับชาวปะหร่องอายุ 12 ถือได้ว่า เป็นวัยที่แต่งงานได้แล้ว
วัตถุประสงค์ของการสอนวิชาจีบสาวก็เหมือนวิชาทั่ว ๆ ไป คือ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ เข้าใจจนสามารถนำไปปฏิบัติต่อในสถานการณ์จริงได้โดยไม่กระดากอาย หรือทำผิด ๆ ถูก ๆ
ร่ำเรียนจนจบภาคทฤษฏี จะมีการจับฉลาก ฉลากแต่ละใบเขียนชื่อหญิงสาวหนึ่งคน จับได้ใครก็ต้องไปฝึกภาคปฏิบัติกับคนนั้น ทั้งนี้จึงถือได้ว่าจบหลักสูตร
ผู้ร่ำเรียนจะได้ใช้วิชาฝีมือจริง ๆ ก็ต่อเมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนเมษายน-ตุลาคม ซึ่งจะเป็นช่วงเก็บใบชา
ช่วงเก็บใบชาหนุ่มสาวจะมีโอกาสได้พบปะกัน
พบปะแล้วไยจะปล่อยให้ผ่านเลย เพียงแค่เก็บใบชา
ธรรมเนียมการแต่งกางของชาวปะหร่องออกจะแปลกประหลาดทีเดียว คือ ฝ่ายหญิงต้องหนีตามผู้ชายไป
ผู้ชายจะพาเธอไปอาศัยบ้านญาติ
หญิงสาวจะทิ้งตลับแป้งซึ่งเป็นเครื่องหมายบอกแก่บิตา-มารดาว่า ตนเองได้หนีตามคนรักไปแล้ว
พ่อ-แม่ฝ่ายหญิงเมื่อพบเห็นตลับแป้ง ก็จะเริ่มจัดขบวนตามหาลูกสาว
ทว่าใช้คนเท่าไร ใช้เวลานานเท่าไรก็ไม่มีทางหาเจอ
หาไม่เจอเพราะ ไม่ได้ตั้งใจจะหาให้เจอ
ประเพณีนี้ คือ รู้อยู่แล้วว่าลูกสาวอยู่ที่ไหน แต่ก็แสร้างเป็นไม่รู้ ลูกสาวอยู่เหนือก็พากันลงใต้ ลูกสาวอยู่ตะวันออก ก็พากันไปตะวันตก
เมื่อ(แสร้าง)ตามหากันพอควรแล้ว ก็จะพากันกลับบ้านของตน
กลับบ้านเพื่อไปพบกับผู้ใหญ่ฝ่ายชาย
ผู้ใหญ่ทั้งสองจะทำการตกลงว่าจะเอาอย่างไร
ตกลงกันได้ก็เสร็จ ตกลงกันไม่ได้ก็อด
ทว่าถ้าตกลงกันได้ ค่าสินสอดไม่ต้องให้สักสตางค์เดียว รับเจ้าสาวกลับบ้านไปได้เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น