พระจันทร์กลมโตในเดือน 12 ดูสวยงามยิ่ง ทว่าต้องมองมันในแถบถิ่นร้างผู้คน...เพราะหาไม่แล้วพระจันทร์กลมโตดวงนั้น จะดูหมองลงไปบ้าง...ด้วยแสงไฟในที่ต่าง ๆ ที่ถูกจุดขึ้น ในงาน “ลอยกระทง”
งานลอยกระทงตรงกับเดือน 12 แต่เดือน 12 ที่ว่านี้ไม่ใช่เดือนธันวา เพราะตามของไทยแล้ว เดือน 12
คือเดือน พฤจิ
ในวัยยังเด็กตัวน้อยก็เคยคิดสงสัย เพราะเท่าที่รู้มาเดือน 12 คือเดือนธันวา
แต่สุดท้ายคำถามก็ถูกเฉลย โดยการไต่ถามผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
จำไม่ได้ว่าเข้าใจมากน้อยแค่ไหน กับข้อมูลที่ท่านบอก แต่ก็พอจะสรุปได้ว่า
“เดือน 12 ของไทยคือพฤจิ”
ทว่า...กับวัยนั้นความเข้าใจแค่นี้ก็พอแล้ว สำหรับความอยากรู้อยากเห็น เพราะสิ่งที่สำคัญจริง ๆ คือการลอยกระทง ต่างหาก...
จำได้ลางเลือนว่าน่าจะมีมือของใครคนหนึ่งจับมือเราไว้...เพราะคนมาลอยกระทงที่ทะเลกันมาก
มือ ๆ นั้นคงกุมเราเอาไว้แน่นเชียว ทั้งฉุด ทั้งลาก ทั้งกระตุก คอยนำพาเราให้ไปถึงที่หมาย ซึ่งนั่นก็คือ...ท้องทะเล
ท้องทะเลที่ผิวน้ำดำทะมึน แต่กลับพราวด้วยจุดแสงนับร้อย-พัน ท้องทะเลที่ ราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เพียงต่างกันตรง จุดแสงที่อยู่ในทะเล คือจุดแสงของเทียน และธูปของกระทง ก็เท่านั้น...
ไม่รู้ว่าครั้งนั้นใช้เวลาเท่าไรในการฝ่าฝูงมนุษย์ จำได้เพียงว่า อากาศคืนนั้นหนาวเย็นพอดู แต่เหงื่อก็พลั่งพรูออกมาจนเต็มแผ่นหลัง นี่ถ้าไม่มีมือ ๆ นั้นคอยจูงและนำทางแล้วละก็ การเดินทางคงเต็มไปด้วยอุปสรรค ยิ่งขึ้น อย่าว่าแต่เด็กตัวน้อยขนาดนั้น...จะพาตัวเองไปถึงทะเลหรือเปล่าก็ไม่รู้
พรายฟองจากคลื่นซาดเข้ามาหาฝั่ง ราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ลมกลางคืนแรง แทบจะปลิดปลิว แต่มือน้อย ๆ ก็ยังถือกระทงไว้แน่นส่วนสายตาก็จดจ่ออยู่กับเปลวไฟ ที่ปลายเทียน...
นานเท่านานที่สายตาถูกตรึงไว้ กับลีลาการร่ายรำของเปลวไฟ ที่ถูกแรงลมพัดพา จวบจนเมื่อได้ยินเสียงหนึ่งว่า
“อธิฐานสิ”
จึงค่อยถอนสายตาออกมา เห็นใครคนนั้นนั่งลงและทูนกระทงไว้เหนือหัว ทั้งดวงตาก็หลับพริ้ม
เด็กน้อยทำตามแบบอย่างที่เห็น ไม่ได้พูด ไม่ได้กล่าว แม้เพียงประโยค
เราเริ่มเหยียบลงไปในน้ำทะเล เมื่ออธิฐานเสร็จ เดินได้ระยะหนึ่ง ประมาณน้ำท่วมครึ่งแข้ง จึงค่อยหยุด...
และเริ่มปล่อยกระทงลงไปในน้ำ
กระทงลอยอยู่บนผิวน้ำที่กระเพื่อมขึ้น ๆ ลง ๆ
ดังนั้น...การเคลื่อนที่ของมัน จึงไม่ได้ไปข้างหน้า เพียงอย่างเดียว มันเดินหน้าบ้าง ถอยหลังบ้าง ยามเมื่อโดนแรงคลื่นซาดซัด...
และความจำก็มาหยุดลงตรงนี้ เรื่องหลังจากนั้นเลือนรางจน ไม่สามารถปะติปะต่ออะไรได้อีก แต่แค่นี้ก็ถือว่าจำได้มากแล้ว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ก็ผ่านระยะเวลามากกว่า 10 ปี ซึ่งการที่หวนคิดถึงมันอาจจะเป็น เพราะการลอยกระทงได้ห่างหายไปจาก ชีวิตตัวเองเสียนาน ซึ่งถ้าจะกลับไปทำมันอีกครั้ง รายละเอียดคงแตกต่างจากวัยเด็กน้อย พอสมควร...ที่เห็น ๆ ก็คงจะ ไม่มีมือใดคอยจูง คอยประคอง คอยนำพา ให้ไปถึงทะเลอีก อย่าว่าแต่ถ้ามีอยู่จริง ๆ ตัวเราในวันนี้ก็คงไม่กระทำดังว่า
เราโตพอแล้วที่จะเดินไปได้โดยลำพัง
เช่นว่า...ในวัยที่สามารถเดินไปลอยกระทง ในทะเลได้เพียงลำพังนี้ ทบทวนดูให้ดี ถึงเรื่องราวในครั้งนั้น ก็ให้พบว่า...ชีวิตกับกระทง ก็มีบางด้านที่คล้ายคลึงกัน ที่ช่วงแรก ๆ ของเส้นทาง จะมีกระทงอื่น ๆ มากมายลอยเคียงกันไป แต่ทว่าหากกระทงยิ่งลอยไกล ออกไปในทะเล กระทงที่เคยมากมายบนเส้นทาง ก็จะลดจำนวนลง จนบางทีอาจไม่เหลืออีกเลย
ดังนี้ คงไม่เกินเลยไปนักที่จะเปรียบเทียบว่า “ชีวิตก็เหมือนกับการลอยไปของกระทงในทะเล ที่มักจะพบปะกระทงอื่น ๆ บนเส้นทางที่ลอยผ่าน อยู่เสมอ...อาจลอยเคียงกันใกล้ ๆ บ้าง ลอยตามหลัง นำหน้ากันไปบ้าง แต่เพราะชีวิตต่างมีเส้นทางเป็นของตัวเอง และมหานทีช่างกว้างใหญ่ การพลัดพรากจึงเกิดมีเป็นธรรมดา เช่นนั้น ถึงที่สุดแล้ว...บางห้วงยามกระทงจึงมักจะลอยไปเพียงลำพัง”
ใช่ ถึงที่สุดแล้วทั้งกระทงและชีวิต ก็ต้องมีช่วงเวลาที่ต้องเดินไปเพียงลำพัง
งานลอยกระทงตรงกับเดือน 12 แต่เดือน 12 ที่ว่านี้ไม่ใช่เดือนธันวา เพราะตามของไทยแล้ว เดือน 12
คือเดือน พฤจิ
ในวัยยังเด็กตัวน้อยก็เคยคิดสงสัย เพราะเท่าที่รู้มาเดือน 12 คือเดือนธันวา
แต่สุดท้ายคำถามก็ถูกเฉลย โดยการไต่ถามผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
จำไม่ได้ว่าเข้าใจมากน้อยแค่ไหน กับข้อมูลที่ท่านบอก แต่ก็พอจะสรุปได้ว่า
“เดือน 12 ของไทยคือพฤจิ”
ทว่า...กับวัยนั้นความเข้าใจแค่นี้ก็พอแล้ว สำหรับความอยากรู้อยากเห็น เพราะสิ่งที่สำคัญจริง ๆ คือการลอยกระทง ต่างหาก...
จำได้ลางเลือนว่าน่าจะมีมือของใครคนหนึ่งจับมือเราไว้...เพราะคนมาลอยกระทงที่ทะเลกันมาก
มือ ๆ นั้นคงกุมเราเอาไว้แน่นเชียว ทั้งฉุด ทั้งลาก ทั้งกระตุก คอยนำพาเราให้ไปถึงที่หมาย ซึ่งนั่นก็คือ...ท้องทะเล
ท้องทะเลที่ผิวน้ำดำทะมึน แต่กลับพราวด้วยจุดแสงนับร้อย-พัน ท้องทะเลที่ ราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เพียงต่างกันตรง จุดแสงที่อยู่ในทะเล คือจุดแสงของเทียน และธูปของกระทง ก็เท่านั้น...
ไม่รู้ว่าครั้งนั้นใช้เวลาเท่าไรในการฝ่าฝูงมนุษย์ จำได้เพียงว่า อากาศคืนนั้นหนาวเย็นพอดู แต่เหงื่อก็พลั่งพรูออกมาจนเต็มแผ่นหลัง นี่ถ้าไม่มีมือ ๆ นั้นคอยจูงและนำทางแล้วละก็ การเดินทางคงเต็มไปด้วยอุปสรรค ยิ่งขึ้น อย่าว่าแต่เด็กตัวน้อยขนาดนั้น...จะพาตัวเองไปถึงทะเลหรือเปล่าก็ไม่รู้
พรายฟองจากคลื่นซาดเข้ามาหาฝั่ง ราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ลมกลางคืนแรง แทบจะปลิดปลิว แต่มือน้อย ๆ ก็ยังถือกระทงไว้แน่นส่วนสายตาก็จดจ่ออยู่กับเปลวไฟ ที่ปลายเทียน...
นานเท่านานที่สายตาถูกตรึงไว้ กับลีลาการร่ายรำของเปลวไฟ ที่ถูกแรงลมพัดพา จวบจนเมื่อได้ยินเสียงหนึ่งว่า
“อธิฐานสิ”
จึงค่อยถอนสายตาออกมา เห็นใครคนนั้นนั่งลงและทูนกระทงไว้เหนือหัว ทั้งดวงตาก็หลับพริ้ม
เด็กน้อยทำตามแบบอย่างที่เห็น ไม่ได้พูด ไม่ได้กล่าว แม้เพียงประโยค
เราเริ่มเหยียบลงไปในน้ำทะเล เมื่ออธิฐานเสร็จ เดินได้ระยะหนึ่ง ประมาณน้ำท่วมครึ่งแข้ง จึงค่อยหยุด...
และเริ่มปล่อยกระทงลงไปในน้ำ
กระทงลอยอยู่บนผิวน้ำที่กระเพื่อมขึ้น ๆ ลง ๆ
ดังนั้น...การเคลื่อนที่ของมัน จึงไม่ได้ไปข้างหน้า เพียงอย่างเดียว มันเดินหน้าบ้าง ถอยหลังบ้าง ยามเมื่อโดนแรงคลื่นซาดซัด...
และความจำก็มาหยุดลงตรงนี้ เรื่องหลังจากนั้นเลือนรางจน ไม่สามารถปะติปะต่ออะไรได้อีก แต่แค่นี้ก็ถือว่าจำได้มากแล้ว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ก็ผ่านระยะเวลามากกว่า 10 ปี ซึ่งการที่หวนคิดถึงมันอาจจะเป็น เพราะการลอยกระทงได้ห่างหายไปจาก ชีวิตตัวเองเสียนาน ซึ่งถ้าจะกลับไปทำมันอีกครั้ง รายละเอียดคงแตกต่างจากวัยเด็กน้อย พอสมควร...ที่เห็น ๆ ก็คงจะ ไม่มีมือใดคอยจูง คอยประคอง คอยนำพา ให้ไปถึงทะเลอีก อย่าว่าแต่ถ้ามีอยู่จริง ๆ ตัวเราในวันนี้ก็คงไม่กระทำดังว่า
เราโตพอแล้วที่จะเดินไปได้โดยลำพัง
เช่นว่า...ในวัยที่สามารถเดินไปลอยกระทง ในทะเลได้เพียงลำพังนี้ ทบทวนดูให้ดี ถึงเรื่องราวในครั้งนั้น ก็ให้พบว่า...ชีวิตกับกระทง ก็มีบางด้านที่คล้ายคลึงกัน ที่ช่วงแรก ๆ ของเส้นทาง จะมีกระทงอื่น ๆ มากมายลอยเคียงกันไป แต่ทว่าหากกระทงยิ่งลอยไกล ออกไปในทะเล กระทงที่เคยมากมายบนเส้นทาง ก็จะลดจำนวนลง จนบางทีอาจไม่เหลืออีกเลย
ดังนี้ คงไม่เกินเลยไปนักที่จะเปรียบเทียบว่า “ชีวิตก็เหมือนกับการลอยไปของกระทงในทะเล ที่มักจะพบปะกระทงอื่น ๆ บนเส้นทางที่ลอยผ่าน อยู่เสมอ...อาจลอยเคียงกันใกล้ ๆ บ้าง ลอยตามหลัง นำหน้ากันไปบ้าง แต่เพราะชีวิตต่างมีเส้นทางเป็นของตัวเอง และมหานทีช่างกว้างใหญ่ การพลัดพรากจึงเกิดมีเป็นธรรมดา เช่นนั้น ถึงที่สุดแล้ว...บางห้วงยามกระทงจึงมักจะลอยไปเพียงลำพัง”
ใช่ ถึงที่สุดแล้วทั้งกระทงและชีวิต ก็ต้องมีช่วงเวลาที่ต้องเดินไปเพียงลำพัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น